วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

งูที่มีพิษร้ายเเรงที่สุดในโลก

10 อันดับงูที่มีพิษอันตรายที่สุดในโลก

 

10 Jararacussu ( Bothrops Jararacussu )
                                                   
ปล่อยพิษครั้งละ 800 มิลลิกรัมต่อการกัด 1 ครั้ง พิษการกัด 1 ครั้ง สามารถทำให้คนตายได้ 32 คน พบที่ประเทศ อาร์เจนติน่า โบลิเวีย บราซิล และ ปารากวัย

9 Tiger Snake ( Notechis Scutatus )
                                                  
พบที่ ออสเตรเลีย เกาะทาสมาเนีย หมู่เกาะแถบช่องแคบบาส และ เกาะนิวกินี

8 Multibanded krait ( Bungarus Multicinctus )
                                                   
พบน้อยตามธรรมชาติ เหยื่อมักเป็นชาวประมง พบแถบทะเลจีนใต้ จีน ไต้หวัน วานูอาตู ฟิจิ

7 Yellow Jawed Tommygoff ( Bothrops Asper )
                                                   
พบที่ ตอนใต้ของเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้

6 Black Mamba ( Dendroaspis Polylepis ) แบล็กแมมบ้า
                                                    
เป็นงูพิษที่ดุ และยังเคลื่อนไหวเร็วที่สุดในโลก (16-18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ) พบที่ทุ่งหญ้าซาวันน่า และป่าโปร่งของทวีปแอฟริกา

5 Russell's Viper ( Vipera Russellii ) งูแมวเซา
                                                     
พบตั้งแต่ ศรีลังกา จีนตอนใต้ อินเดีย คาบสมุทรอินโดจีน เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอร์เนียว

4 King Cobra ( Ophiophagus Hannah ) งูจงอาง

                                                      
เป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบที่ ไทย มาเลเซีย จีนตอนใต้ อินเดียตอนใต้ และ ฟิลิปปินส์

3 Philippine Cobra ( Naja Philippinensis )
                                                       
จะดุร้ายถ้าไปรบกวนมัน(ส่วนใหญ่งูพิษนิสัยจะเป็นอย่านี้แหละ) พบที่ประเทศฟิลิปปินส์

2 Common Indian Krait ( Bungarus Caeruleus )

                                                       
มีพิษเป็น 15 เท่าของ งูตระกูลงูเห่า/จงอาง โดยทั่วไป พบที่ ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา

1 Inland Taipan ( Oxyuranus Microlepidotus )
                                                        
ตามรายงานโดนกัดไม่ได้รับการรักษา มักเสียชีวิตไม่เกิน2-3 ชม. ส่วนน้อยมากที่ไม่ได้รับการรักษา จะกลับมารอดชีวิต กัดครังหนึ่งมีพิษปริมาณ 110 มิลลิกรัม แต่เพียง 2-3 มิลลิกรัม สามารถฆ่าคนได้มากกว่า100คน หรือหนูมากกว่า250,000ตัว พบที่ออสเตรเลียตอนกลาง

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำนานเขาอกทะลุ


ตำนานเขาอกทะลุ
เขาอกทะลุ
เขาอกทะลุ
          สัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุงคือ เขาอกทะลุ ซึ่งมีตำนานเล่าว่า ชายผู้หนึ่งชื่อ
นายเมือง เป็นพ่อค้าช้าง ตะแกมีเมียสองคน เมียหลวงชื่อนางศิลา และมีลูกสาวชื่อนางยี่สุ่น ส่วนเมียน้อยชื่อนางบุปผา และมีลูกชายชื่อนางชังกั้ง ลักษณะนิสัยของนายชังกั้งตรงกับชื่อ
คือเป็นคนเกกมะเหรก ดื้อดึง และมุทะลุ ฝ่ายเมียหลวงและเมียน้อยก็ไม่ลงรอยกัน
มักทะเลาะด่าทอและตบตีกันเสมอ
           วันหนึ่งนายเมืองเดินทางไปค้าขายต่างถิ่น นางยี่สุ่นลูกสาวไม่อยู่บ้านเช่นกัน นางมักอาศัยเรือสำเภาเดินทางหนีไปค้าขายถึงต่างแดน ฝ่ายนายชังกั้งนั้นก็ไม่อยู่ติดบ้าน นางบุปผา
ผู้เป็นแม่ก็มิได้เป็นห่วง เพราะเอือมระอายากที่จะตักเตือนสั่งสอนลูก
           ภายในบ้านจึงเหลือแต่เมียหลวงและเมียน้อย ต่างก็ทำงานคนละอย่าง คือเมียหลวงนั่งทอผ้าหรือทอหูกอยู่ใต้ถุนบ้าน และเมียน้อยตำข้าวโพดโดยใช้สากตำลงไปในครก ชาวใต้เรียกการตำข้าวว่า “ซ้อมสาร”
          ช่วงหนึ่งต่างเกิดปากเสียงกันอย่างรุนแรง ถึงกับบันดาลโทสะออกมาอย่างไม่ยั้งคิด
นั่นคือ เมียหลวงใช้กระสวยทอผ้าซึ่งชาวใต้เรียกว่า “ตรน” ฟาดศีรษะเมียน้อยอย่างเต็มแรงจนเป็นแผลแตกเลือดไหลแดนฉาน ฝ่ายเมียน้อยก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางจึงใช้สากตำข้าวกระทุ้งหน้าอกเมียหลวงอย่างแรงจนอกทะลุ ในที่สุดทั้งคู่ทนความเจ็บปวดไม่ไหวถึงแก่ความตายและกลายเป็นภูเขา นั้นคือเมียหลวงเป็น “เขาอกทะลุ” ส่วนเมียน้อยเป็น “เขาหัวแตก”
ซึ่งทางการเรียกว่า “เขาคูหาสวรรค์”
          ฝ่ายนายเมืองกลับจากการค้าช้าง เมื่อพบเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเสียใจและตรอมใจ
ในที่สุดก็ถึงแก่ความตายกลายเป็น “เขาเมือง หรือ เขาชัยบุรี” ซึ่งมีลักษณะคล้ายช้างหมอบ ฝ่ายลูกสาวเมื่อขึ้นจากเรือสำเภาและเห็นเหตุการณ์วิปโยคเช่นนั้น นางยิ่งโศกเศร้าเสียใจเลย
ถึงแก่ความตายเช่นกัน และกลายเป็น “เขาชัยเสน” ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือสำเภา ศพสุดท้ายคือนายชังกั้งกลายเป็น “ภูเขาชังกั้ง หรือเขากัง” ปัจจุบันอยู่ในเขตโรงพยาบาลพัทลุง
(ประพนธ์ เรืองณรงค์ , 2552, หน้า 168)

การสอบใบขับขี่แบบใหม่ปี ๒๕๕๕


การสอบใบขับขี่แบบใหม่ปี ๒๕๕๕

ทุกวันนี้ต้องใช้เวลาสอบใบขับขี่ ๒ วัน คือ ปรับเป็นอบรม ๔ ชั่วโมง เป็นนโยบายใหม่เหมือนกันทุกที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕
ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้ออกระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอบรมและทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ ผู้ขอต่ออายุ ใบอนุญาตขับรถ และผู้ขอรับบัตรประจำตัวคนขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ฉบับลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยให้เพิ่มระยะเวลาการอบรมผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว รถบดถนน รถแทรกเตอร์และรถใช้งานเกษตรกรรม จาก ซึ่งจะมีการอบรมตามหลักสูตรในวิชา ประกอบด้วย
๑. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยทางหลวง และกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
๒. การขับรถอย่างปลอดภัย
๓. มารยาทในการขับรถ

โดยได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการดำเนินการใหม่ จาก ๑ วันทำการ เป็น ๒ วันทำการ ดังนี้
-วันแรกยื่นเอกสาร ๐๘.๓๐ น. อบรม ๒ ชั่วโมง (เรื่องทั่วไป)
๑. ทดสอบสายตาโดยกรรมการจะกดปุ่มป้ายไฟจราจร(เหมือนป้ายจริงตามถนน) แล้วให้เราตอบสีหลอดไฟที่สว่างเสร็จ
๒. ทดสอบสายตาวัดลานตา โดยกรรมการจะกดปุ้มแล้วจะมี สีแดง เหลือง เขียว ที่หางตา แต่ห้ามเลือบมอง โดยให้บอก สีไฟทั้งสองด้านของตา เช่น เหลือง-เหลือง, แดง-เหลือง
๓. ทดสอบประสาทสัมผัสเท้า โดยการให้เหยียบคันเร่ง ตู้ทดสอบจะขึ้นไฟเขียว จากนั้นเมื่อเกิดไฟแดงก็ให้เหยียบเบรก
๔. ทดสอบการคาดคะเน การกะของสายตา โดยจะปุ้มให้กด สีแดงเดินหน้า สีเขียวถอยหลัง ให้กะให้เท่ากับสัญลักษณ์ที่กรรมกรรมทำไว้ โดยห้ามห่างกว่า ๑ นิ้ว
การทดสอบทั้งหมด ทำผ่าน ๒ ใน
-วันที่สอง ๐๘.๐๐ น. อบรม ๒ ชั่วโมง ๑๐.๐๐ น.เข้าสอบข้อเขียนระบบ E-EXAM ๓๐ ข้อ ถ้าผ่านไปพักกินข้าวได้เลย ๑๓.๐๐ น.ทดสอบท่าขับขี่ ๓ ท่า
๑.เดินหน้าถอยแล้วหลังออกจากซองทางยาว
๒.เดินหน้าเข้าจอดในซอง ล้อหลังต้องพอดีกับเส้นเหลืองด้านหน้าต้องไมชนสิ่งกีดขวาง จากนั้นถอยหลังออกมาตามปกติ    �
๓.เดินหน้าเทียบฟุตบาทโดยล้อหน้าและหลังต้องเหยียบเส้นเหลืองและล้อหน้าต้องไม่เกินไม่ขาดจากเส้นระยะให้หยุด

เอกสารที่ต้องนำมายื่นประกอบคำขอ ประกอบด้วย

๑ . บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนา

๒. ใบรับรองแพทย์ (ออกก่อนยื่นคำขอไม่เกิน ๑ เดือน)

ค่าธรรมเนียมการขอรับใบอนุญาตขับรถ กรณี ทำใหม่
- ค่าคำขอ ฉบับละ ๕ บาท
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ฉบับละ ๕๐ บาท
- ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ฉบับละ ๑๐๐ บาท
- ค่าบริการถ่ายรูป แบบพลาสติก (สมาร์ทการ์ด) ฉบับละ ๑๐๐ บาท

คุณสมบัติ 

ผู้สอบจะต้องรู้ท่าสอบปฎิบัติ และอ่านคู่มือสอบใบขับขี่เพื่อเตรียมตัวสอบข้อเขียน เรามาดูกันว่าคุณสมบัติของผู้สอบใบอนุญาต และหลักฐานที่จะต้องเตรียมมีอะไรบ้าง ?๑. ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปี
๒. มีความรู้ความสามารถในการขับรถ
๓. มีความรู้ในข้อบังคับการเดินรถ
๔. ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถบังคับรถได้
๕. ไม่มีโรคประจำตัวที่เห็นได้ว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
๖. ไม่เป็นบุคคลทุจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
๗. ไม่มีใบอนุญาตขับรถชนิดเดียวกันอยู่แล้ว
๘. ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกยึดหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถหมายเหตุ สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการ ดังต่อไปนี้ เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ รถยนต์ จักรยานยนต์ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งฯ ก่อน จึงจะทำได้
- แขนขาดข้างเดียว
- ขาขาดข้างเดียว
- ตาบอดข้างเดียว
- ลำตัวพิการ
- หูหนวก

อ้างอิง
http://www.dlt.go.th
http://www.drivingdd.com
Share and Enjoy:
  • Facebook
  • Google Bookmarks
  • Twitter
  • Print

ความรักคืออะไร ?



ความรักคืออะไร ?

ที่จริงมันมีนิยามเป็นร้อยเป็นพัน แล้วแต่ใครจะคิดขึ้นมา ได้เช่นว่า "ความรักคือการให้" หรือ "ความรักคือความเข้าใจกัน" หรือ "ความรักคือการไม่หวังสิ่งใดจากคนที่เรารัก แต่ขอให้เขานั้นมีความสุข เราก็พอใจแล้ว"
Be mine valentine

..........บางคนนิยามความรักได้อย่างน่ารักแต่เป็นความจริง คือ "ความรักเหมือน หวย มีสิทธิแทงไม่ถูกมากกว่าแทงถูก " หรือหากเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ อาจนิยามความรักว่า "ความรักก็คือ การทดลองอยู่ด้วยกัน หากเข้าใจกันไม่ได้ ก็หาใหม่ได้ สรุปสั้นๆคือ ความรักคือการทดลอง" หรือแม้แต่บางคนอาจนิยามความรักว่า "ความรักคือเซ็กส์" แม้แต่ในทางพุทธศาสนายังกล่าวถึงความรักว่า "ที่ไหนมีความรัก ย่อมเกิดความทุกข์"
ความรัก มีนิยามร้อยแปดพันเก้า เรามาวิเคราะห์ ในเรื่องของความรักกันอย่างถ่องแท้ดีกว่า
..........ไม่จำเป็นที่จะต้องมีบุคคลที่ 2 หรือ 3 หมายถึงคนเราสามารถก่อให้ เกิดความรักได้โดยลำพัง เช่น การรักตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะลืม อยู่เสมอ ไปรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง ทำให้เกิดปัญหาการฆ่าตัวตาย อย่างมากมายในสังคมปัจจุบัน
..........แน่นอน ความรัก คือความคิดถึง ความเป็นห่วง เป็นความรู้สึกที่สรรค์ สร้างโลกนี้ให้น่าอยู่มาก การที่คนเรามีคนคิดถึง หรือเป็นห่วง ย่อมทำให้ ตนมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าอย่างน้อยยังมีค่าต่อใครบางคน
..........เมื่อมีความรักเกิดขึ้น จะมองเห็นโลกนี้เป็นสีชมพู ดูสวยงาม แต่ควร ตั้งสติซักนิดว่าความรักสามารถจะจากเราไปได้เสมอ ตลอดเวลา และมัน คือสัจธรรมของชีวิต โอเคละ คงต้องเสียใจกันทุกคน แต่ต้องคำนึงว่านั้น มันไม่ใช่วันสิ้นโลก หรือขนาดที่ต้องเขียนกลอนออกมาว่า "ดอกรักบาน ในใจใครทั้งโลก แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน"
..........ความรัก เป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเหตุผล ข้อนี้หลายคนคงเถียง แต่เชื่อเถอะ คนบางคนรักใครขึ้นมา ถามว่ารักเขาเพราะอะไร กลับต้อง ใช้เวลาคิดนานมาก คนบางคนที่ดีเพียบพร้อมทุกอย่าง เรากลับไม่รัก ไปรักอีกคนที่หากใช้เหตุผลนานาประการแล้วคงไม่เลือก หรืออย่างผัวเมีย ที่ตีกันอยู่ทุกวัน แต่ไม่เห็นเขาจะหย่ากัน เพราะถามเขาว่ารักกันไหม ต่างก็ตอบว่ารัก แต่ผัวเมียบางคู่ทะเลาะกันดูเหมือนไม่รุนแรง กลับหย่า กันเสียได้ แถมหลังจากนั้นกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาต ชนิดที่ว่าตายไปก็ไม่เผา ผีกันเลยทีเดียว
..........ความรัก นี้มันประหลาด ลึกลับ และมีพลัง พลังของความรักนี้สามารถ ทำได้ทุกอย่าง อย่างกรณีทัชมาฮาล ที่อินเดียก็เป็นอนุสรณ์แห่งความรัก หรืออย่างการล้มสลายของราชวงศ์ต่างๆของจีน สืบเนื่องมาจากความรัก ทั้งนั้น ความรักเหมือนเป็นพลังแห่งการสร้างในทางกลับกันเป็นพลังแห่ง การทำลายที่รุนแรง
..........ความรัก ไม่จำกัดในเรื่องเวลาหรือสถานที่ ประเภทที่ว่ารักกัน 10 ปียัง ไม่แต่งงาน หรือบางคนรักกันเพียงเดือนสองเดือน กลับตกลงจะ แต่งงานกันแล้ว แถมระยะเวลาของความรักก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยืนยันว่า ความรักจะยั้งยืนกว่าคนที่รักกันไม่นานแล้วแต่งงานกัน ส่วนเรื่องสถานที่ บทจะปิ๊งใครซักคน เดินผ่านหน้าห้องน้ำยังปิ๊งได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน สถานที่โรแมนติกเลย
..........ความรัก เป็นสิ่งน่าดึงดูด รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสที่จะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ก็ยังรักอยู่นั้นแหละ บางคนอกหักแล้วอกหักอีก ก็ยังแสวงหาความรัก ต่อไป หรือจะถือคติอย่างเพลงของพี่สายันต์ สัญญา ที่ว่า "อกหักเพียง (สิบ)ครั้ง ยังไม่ตาย"

ประวัติสุนทรภู่

ประวัติสุนทรภู่


สุนทรภู่
สุนทรภู่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com โพสต์โดย คุณนายรถซุง

          ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม  หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

          สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

          "สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

          ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

          หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

          จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"

          ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ
          "สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย 
          ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่" 
          สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"

ผลงานของสุนทรภู่
          หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…

ประเภทนิราศ 
          - นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง

          - นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา

          - นิราศภูเขาทอง (ประมาณ พ.ศ. 2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา

          - นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง

          - นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา

          - นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา

          - รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขาบท

          - นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) –เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาบทและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี

          - นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน
          เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ

พระอภัยมณี
พระอภัยมณี

สุดสาคร
สุดสาคร

ประเภทสุภาษิต          - สวัสดิรักษา- คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์

          - สุภาษิตสอนหญิง - เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่

          - เพลงยาวถวายโอวาท - คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร          - เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเภทบทเสภา
          - เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

          - เรื่องพระราชพงศาวดาร

ประเภทบทเห่กล่อม
          แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี 4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องกากี


ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่

          ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ "วรรคทอง" ยกตัวอย่างเช่น

 บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ



ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา


 บางตอนจาก นิราศอิเหนา

จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ

 บางตอนจาก พระอภัยมณี

บัดเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา
ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

(พระฤาษีสอนสุดสาคร)




แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

(พระฤาษีสอนสุดสาคร)



อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แค่องค์พระปฎิมายังราคิน
คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา



เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก    
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นรักจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล



ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง

แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์
จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

(ตอน พระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง ได้ถูกนำไปดัดแปลงเล็กน้อยกลายเป็นเพลง "คำมั่นสัญญา")

 บางตอนจาก เพลงยาวถวายโอวาท

อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย



อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ

 บางตอนจาก สุภาษิตสอนหญิง

มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน



จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึ้งขึ้นมึงกู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ



เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ



รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา
จึงจะเบาแรงตนช่วยขนขวาย
มีข้าไทใช้สอย ค่อยสบาย
ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง


 บางตอนจาก ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม

แม่รักลูก ลูกก็รู้ อยู่ว่ารัก
ใครอื่นสัก หมื่นแสน ไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่า เมตตาเตือน
จะจากเรือน ร้างแม่ ก็แต่กาย



ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ
เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน

(ขุนแผนสอนพลายงาม)

 บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ

 บางตอนจาก นิราศพระบาท

เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น
เพราะดั้นด้นอยากลิ้มชิมรสหวาน
ครั้นได้รสสดสาวจากจาวตาล
ย่อมซาบซ่านหวานซึ้งตรึงถึงทรวง

ไหนจะยอมให้เจ้าหล่นลงเจ็บอก
เพราะอยากวกขึ้นลิ้นชิมของหวง
อันรสตาลหวานละม้ายคล้ายพุ่มพวง
พี่เจ็บทรวงช้ำอกเหมือนตกตาล... 


ที่มาของวันสุนทรภู่          องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก ด้วยการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบรอบ 100 ปีขึ้นไป ประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกให้ปรากฎแก่มวลสมาชิกทั่วโลก และเพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ

          ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ "วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

          ทั้งนี้ ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ไว้ที่ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ ในวันสุนทรภู่
          1. มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงาน
          2. มีการแสดงผลงานประเภทนิทานฯ ของสุนทรภู่
          3. มีการประกวด แข่งขัน ประชันสักวา ตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติชีวิต และผลงานของสุนทรภู่